ในปัจจุบัน การผ่าตัดเปลี่ยนเพศชายเป็นหญิง ด้วยเทคนิคต่อลำไส้ เป็นหนึ่งในวิธีการเปลี่ยนเพศที่ได้รับความนิยมมากขึ้น สำหรับบุคคลที่มีความรู้สึกว่าเพศของตนไม่ตรงกับอัตลักษณ์ทางเพศของตน การผ่าตัดเปลี่ยนเพศด้วยเทคนิคต่อลำไส้นี้ จะช่วยให้บุคคลเหล่านี้สามารถปรับเปลี่ยนร่างกายให้สอดคล้องกับเพศที่ตนรู้สึกว่าเป็นเพศในใจ หรืออัตลักษณ์ทางเพศ ที่ตนต้องการ และสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น
เทคนิคการต่อลำไส้คืออะไร?
เทคนิคการต่อลำไส้ หรือที่เรียกว่า Bowel Vaginoplasty เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการผ่าตัดเปลี่ยนเพศจากชายเป็นหญิง (Male to Female / MTF) โดยศัลยแพทย์จะนำส่วนหนึ่งของลำไส้ใหญ่ โดยมีความยาวประมาณ 7-8 นิ้ว มาสร้างเป็นช่องคลอดใหม่ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมในผู้ที่ต้องการผ่าตัดแก้ไข หลังการผ่าตัดเปลี่ยนเพศมาแล้วมีช่องคลอดตีบตัน, สั้น หรือในกรณีที่ผู้รับการผ่าตัดมีผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศไม่เพียงพอสำหรับการทำเทคนิคต่อกราฟ ซี่งรวมถึงผู้ที่ต้องการช่องคลอดที่มีความลึกและความกว้างมาก ๆ
ข้อดีและข้อเสียของเทคนิคต่อลำไส้ในการผ่าตัดเปลี่ยนเพศ
ข้อดีของเทคนิคต่อลำไส้
- ช่องคลอดมีความลึกและสมจริง: ช่องคลอดที่สร้างขึ้นจากลำไส้จะมีความลึกและความรู้สึกใกล้เคียงกับช่องคลอดธรรมชาติ ทำให้สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างสมบูรณ์
- ลดโอกาสการตีบตัน: เมื่อเทียบกับวิธีการอื่นๆ การใช้ลำไส้มาสร้างช่องคลอดมีโอกาสเกิดการตีบตันน้อยกว่า
- ผลิตเมือกหล่อลื่นตามธรรมชาติ: เยื่อบุลำไส้ที่บุภายในช่องคลอดจะผลิตเมือกหล่อลื่นได้เอง ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้เจลหล่อลื่นเพิ่มเติม
- ความคงทนแข็งแรง: ช่องคลอดที่สร้างขึ้นมีความแข็งแรงทนทาน
- สามารถสร้างอวัยวะเพศนอกได้ครบถ้วน
- มีความรู้สึกทางเพศ และถึงจุดสุดยอดได้
ข้อเสียของเทคนิคต่อลำไส้
- การผ่าตัดซับซ้อนและพักฟื้นนาน: เนื่องจากต้องผ่าตัดช่องท้องเพื่อนำลำไส้มาสร้างช่องคลอด ทำให้การผ่าตัดมีความซับซ้อนและต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนานกว่าวิธีอื่นๆ
- ความเสี่ยงจากการผ่าตัด: เช่น การติดเชื้อ การรั่วของรอยต่อลำไส้ หรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้จากการผ่าตัดใหญ่
- อาจเกิดพังผืดในช่องท้อง: หลังการผ่าตัดอาจเกิดพังผืดในช่องท้องได้ ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะภายใน
- ค่าใช้จ่ายสูง: การผ่าตัดด้วยเทคนิคนี้มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เนื่องจากมีความซับซ้อนและต้องใช้เวลาในการรักษานาน
- ความเสี่ยงต่อโรคของลำไส้: แม้ว่าจะค่อนข้างน้อย แต่ก็มีความเสี่ยงที่อาจเกิดโรคของลำไส้ เช่น มะเร็งลำไส้ หรือลำไส้อักเสบได้
สรุป การแปลงเพศด้วยเทคนิคการต่อลำไส้เป็นทางเลือกหนึ่งที่มีข้อดีในเรื่องของความสมจริงและลดโอกาสการตีบตัน แต่ก็มีความเสี่ยงและความซับซ้อนมากกว่าวิธีอื่นๆ ดังนั้นผู้ที่สนใจควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพร่างกายและความเหมาะสมในการทำการผ่าตัด รวมถึงพิจารณาข้อดีข้อเสียอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ
ขั้นตอนการผ่าตัด
1.เตรียมลำไส้ใหญ่ : ศัลยแพทย์จะเลือกส่วนของลำไส้ใหญ่ที่มีความยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร และตัดออกจากลำไส้ใหญ่ โดยยังคงรักษาเส้นเลือดที่เชื่อมต่อกับส่วนนั้นไว้ นำลำไส้ใหญ่ส่วนต้นแล่ะส่วนปลายมาต่อกัน ส่วนลำไส้ที่ได้เลือกตัดออกมานั้นจะนำไปทำช่องคลอดต่อไป
2.สร้างช่องคลอด : ศัลยแพทย์จะนำส่วนของลำไส้เล็กที่เตรียมไว้มาเย็บต่อกับหนังหุ้มองคชาติที่เตรียมไว้ โดยสอดเขาไปในโพทรงช่องคลอดที่เตรียมไว้แล้ว ซึ่งจะอยู่ระหว่างกระเพาะปัสสาวะ และลำไส้ตรงที่จะออกมาทวารหนักเพื่อสร้างเป็นช่องคลอดใหม่
3.ผ่าตัดแต่งรูปลักษณ์ภายนอก : ศัลยแพทย์จะผ่าตัดแต่งบริเวณอวัยวะเพศภายนอก ให้มีรูปลักษณ์ใกล้เคียงกับอวัยวะเพศหญิงมากที่สุด รวมถึงการสร้างคลิตอริสจากเนื้อเยื่อบริเวณอวัยวะเพศเดิม
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการผ่าตัดเปลี่ยนเพศชายเป็นหญิงด้วยเทคนิคการต่อลำไส้
การผ่าตัดเปลี่ยนเพศชายเป็นหญิงด้วยเทคนิคการต่อลำไส้ เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการสร้างช่องคลอด ซึ่งจะให้ลักษณะใกล้เคียงธรรมชาติ โดยช่วยลดโอกาสเกิดการตีบตัน อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดยังคงต้องดูแลตนเองอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการขยายช่องคลอดด้วย “แท่งขยายช่องคลอด หรือที่นิยมเรียกกันว่า แยงโม” ตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อป้องกันการตีบแคบของปากช่องคลอด นอกจากนี้ การตรวจติดตามอาการกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอมีความสำคัญ เพื่อเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่น พังผืดในช่องท้อง และการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ในอนาคตอาจต้องใช้วิธีการส่องกล้องตรวจภายในช่องคลอดร่วมด้วย
ความเสี่ยง ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นหลังผ่าตัด
แม้ว่าการผ่าตัดแปลงเพศด้วยเทคนิคต่อลำไส้จะมีอัตราความสำเร็จสูง แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น การติดเชื้อ, เลือดออก, แผลแยก, การหดตัวของช่องคลอด และการเกิดแผลเป็น ซึ่งผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด และต่อเนื่องหลังผ่าตัด
การดูแลหลังผ่าตัดเปลี่ยนเพศชายเป็นหญิง ด้วยเทคนิคการต่อลำไส้?
ช่วง 7 วันแรกหลังผ่าตัดเปลี่ยนเพศด้วยเทคนิคการต่อลำไส้
งดน้ำงดอาหาร จนกว่าจะผายลม เพื่อป้องกันลำไส้อุดตัน
1–2 วันแรก: นอนราบ หนุนสะโพกเล็กน้อย ห้ามกางขา
วันที่ 3: เริ่มนอนได้ตามปกติ
วันที่ 5–6: ถอดสายระบายเลือด, เอาผ้าก๊อซในช่องคลอดออก
วันที่ 7: ถอดสายสวนปัสสาวะ และสามารถกลับบ้านได้
ช่วงพักฟื้นที่บ้าน
ปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์อย่างเคร่งครัด
เริ่ม ขยายช่องคลอดหลัง 2–3 สัปดาห์ วันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 30–60 นาที ต่อเนื่อง 12 เดือน และค่อยลดลงตามลำดับ
ควรใช้ สารหล่อลื่น ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ
การดูแลแผลและช่องคลอด
ล้างแผลและทายาหลังถ่ายอุจจาระหรือขยายช่องคลอด
สวนล้างช่องคลอด ด้วยน้ำยาโพวิดีนผสมน้ำเกลือ (1:10) ครั้งละ 100–200 ซีซี หลีกเลี่ยงการใช้น้ำสบู่
ห้าม นั่งยอง/แยกขา ก่อนแผลหายสนิทหรือได้รับการอนุญาตจากแพทย์
อาการที่พบบ่อยและข้อควรระวัง
น้ำเมือกอาจไหลต่อเนื่อง 2–3 เดือนแรก ควรใส่ผ้าอนามัย
งดมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 2 เดือน หรือจนกว่าแพทย์จะอนุญาต
พบแพทย์เพื่อตรวจติดตามอาการ สัปดาห์ละครั้ง จนครบ 1 เดือน
การเลือกเทคนิคการผ่าตัดเปลี่ยนเพศชายเป็นหญิง ไม่ว่าจะเทคนิคใดก็ตาม จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแล และคำแนะนำจากศัลยแพทย์ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น สภาพร่างกาย, ความต้องการส่วนบุคคล, และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ การผ่าตัดเปลี่ยนเพศชายเป็นหญิงด้วยเทคนิคการต่อลำไส้เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยสร้างช่องคลอดใหม่ที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด ทำให้ผู้ป่วยสามารถมีเพศสัมพันธ์ และรับรู้ความรู้สึกทางเพศได้อย่างเป็นธรรมชาติ แม้ว่าจะมีความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น แต่ด้วยการดูแลรักษาอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถฟื้นตัว และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ตามอัตลักษณ์ทางเพศที่ตอนเลือกที่จะเป็น ผู้ที่สนใจสามารถปรึกษาศัลยแพทย์ เพื่อประเมินความเหมาะสม และทำความเข้าใจถึงข้อดีข้อเสียของแต่ละเทคนิคอย่างละเอียดก่อนการตัดสินใจ