เมื่อไหร่ที่ต้องการปรับลุค หรืออยากให้ใบหน้ามีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เพิ่มความมั่นใจมากขึ้นนั้น หนึ่งวิธีที่หลายคนนึกถึงเสมอก็หนีไม่พ้น “การเสริมจมูก” เพราะจมูกเป็นอวัยวะบนใบหน้าที่มีความโดดเด่น ช่วยส่งให้ใบหน้าโดยรวมมีความละมุนสวยเป็นธรรมชาตินั่นเอง ซึ่งใครที่กำลังตัดสินใจอยากเสริมจมูกครั้งแรกอยู่นั้น แต่ยังไม่มั่นใจว่าจะเลือกเสริมจมูกที่ไหนดี ทรงไหนปังให้เข้ากับใบหน้าของตัวเอง หรือมีข้อควรรู้เกี่ยวกับการเสริมจมูกอะไรบ้างนั้น วันนี้ YKJ Medical Center by Theerathornclinic เราก็ได้รวบรวมมาให้แล้ว ตามมาอ่านกันได้เลย
วัสดุที่ใช้เสริมจมูกมีอะไรบ้าง
ขึ้นชื่อว่าการเสริมจมูก ก็จำเป็นต้องมีการเพิ่มวัสดุบางอย่างเข้ามาในร่างกายของเราเพื่อเสริมให้จมูกมีลักษณะ หรือรูปทรงที่สวยงามกว่าเดิม โดยวัสดุที่ใช้เสริมจมูกที่เป็นที่นิยมนั้นได้แก่
ซิลิโคน (Silicone)
การเสริมจมูกด้วยซิลิโคนเป็นวัสดุเสริมจมูกที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากเป็นวัสดุทางการแพทย์ที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย โดยซิลิโคนที่ใช้เสริมจมูกในปัจจุบันนี้มีให้เลือก 2 รูปแบบ คือ ซิลิโคนสำเร็จรูป ที่มีรูปร่างพร้อมใช้งาน แต่แพทย์สามารถเหลาปรับแต่งซิลิโคนให้เหมาะกับโครงสร้างจมูกของแต่ละบุคคลได้ และซิลิโคนแบบเหลาเอง ซึ่งจะเป็นแผ่นซิลิโคนขนาดใหญ่ แพทย์จะนำมาเหลาปรับแต่งรูปทรงเองอย่างอิสระ ต้องอาศัยความชำนาญการสูง
เนื้อเยื่อเทียม (Acellular Dermal Matrix)
วัสดุเสริมจมูกอย่างเนื้อเยื่อเทียม (Acellular Dermal Matrix) นั้นจะมีคุณสมบัติคล้ายหนังแท้ของคนไข้เอง แต่จริง ๆ แล้วได้มาจากผิวหนังของผู้บริจาคที่ผ่านกระบวนการนำเอาเซลล์ผิวเก่าออกทั้งหมด เหมาะสำหรับทดแทนเนื้อจมูกที่บาง หรือมีปัญหา โดยเฉพาะบริเวณสันจมูก และปลายจมูก ขณะเดียวกันอาจใช้คู่กับซิลิโคนบริเวณปลายจมูกเพื่อป้องกันซิลิโคนทะลุด้วย
กระดูกอ่อนหลังหู (Ear Cartilage)
การเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนหลังหู (Ear Cartilage) มักนิยมนำมาใช้เสริมบริเวณปลายจมูก ในผู้ที่ต้องการจมูกทรงหยดน้ำ หรือในบางคนที่มีเนื้อหนังปลายจมูกบาง ก็จะใช้กระดูกอ่อนหลังหูมารองปลายไว้เพื่อป้องกันซิลิโคนทะลุ ทำให้รูปทรงปลายจมูกมีความสวยงามเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้การเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนหลังหูจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีโครงสร้างจมูกเดิมดีอยู่แล้ว ต้องการแต่งเสริมจมูกบางส่วนเท่านั้น
กระดูกอ่อนซี่โครง (Rib Cartilage)
รู้หรือไม่? กระดูกอ่อนซี่โครง (Rib Cartilage) ของเรานั้นมีความแข็งแรงกว่ากระดูกอ่อนหลังหู จึงนิยมนำมาเสริมจมูกในผู้ที่ต้องการใช้เนื้อเยื่อตัวเองในการเสริมจมูก หรือในผู้ที่เคยใช้กระดูกอ่อนหลังหูไปแล้ว ทั้งนี้การเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนซี่โครงนั้นก็มีช้อเสียคือจะเกิดแผลบริเวณใต้ราวนมอีกจุด เพราะต้องผ่าตัดเปิดแผลเพื่อตัดเอากระดูกซี่โครงออกมาบางส่วน ขณะเดียวกันผลลัพธ์หลังเสริมจมูกก็จะแลดูพุ่งและแข็งแรงกว่าใช้ซิลิโคน หรือวัสดุอื่น ๆ
สำหรับเคสที่มีปัญหาเยอะ แพทย์นิยมแก้ไขด้วยกระดูกซี่โครงมากกว่า สามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำจมูกเทคนิคโอเพ่นกระดูกซี่โครง ได้ที่นี่
เทคนิคการเสริมจมูกที่ควรรู้
เมื่อรู้จักกับวัสดุในการเสริมจมูกไปแล้ว ทีนี้ก็ต้องทำความรู้จักกับเทคนิคในการเสริมจมูกร่วมด้วย ซึ่งเทคนิคการเสริมจมูกนั้นสามารถแบ่งได้ 2 เทคนิคหลักๆ คือ
การเสริมจมูกเทคนิคแบบปิด (Closed Rhinoplasty)
การเสริมจมูกเทคนิคแบบปิด นั้นเป็นวิธีเสริมจมูกที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากเป็นการผ่าตัดที่ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องดมยาสลบ ใช้เวลาไม่นานในการผ่าตัด เพียง 60-90 นาทีเท่านั้น และยังเป็นการเสริมจมูกที่เปิดแผลด้านในรูจมูก ทำให้มองไม่เห็นแผลผ่าตัดนั่นเอง โดยการเสริมจมูกเทคนิคแบบปิดนั้นจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีฐานเดิมของจมูกดีอยู่แล้ว ต้องการเพิ่มความโด่งให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยเฉพาะเคสเสริมใหม่ หรือเสริมจมูกครั้งแรกนั่นเอง
การเสริมจมูกเทคนิคแบบเปิด (Open Rhinoplasty)
การเสริมจมูกเทคนิคแบบเปิด หรือที่หลายคนมักเรียกว่าเสริมจมูกโอเพ่นนั้นจะเป็นวิธีการเสริมจมูกที่สามารถปรับโครงสร้างจมูกได้โดยตรง เนื่องจากแพทย์ที่ทำการผ่าตัดจะเปิดแผลจากด้านล่างจมูกขึ้นไปจนสามารถมองเห็นโครงสร้างจมูกทั้งหมด และสามารถปรับแต่งทรงจมูกให้ตอบโจทย์รับกับใบหน้าของแต่ละบุคคลได้ ที่สำคัญมอบผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติสวยงาม โดยการเสริมมูกแบบโอเพ่นนั้นเหมาะสำหรับการเสริมจมูกทุกรูปแบบ แม้แต่ผู้ที่มีปัญหาด้านโครงสร้างจมูกผิดปกติ กลับกันด้วยความซับซ้อนของการผ่าตัดนี้ก็อาจต้องใช้เวลาผ่าตัดนานกว่าปกติ และมีค่าใช้จ่ายสูง ทั้งยังต้องอาศัยประสบการณ์ ความชำนาญการของแพทย์สูงอีกด้วย
อ่านเพิ่มเติม : แก้จมูก เสริมจมูกด้วยเทคนิคโอเพ่น ปลายไร้ซิลิโคน
ทรงจมูกยอดนิยมในประเทศไทย
ด้วยลักษณะทางพันธุกรรมของหนุ่มสาวชาวเอเชียจะมีฐานจมูกที่เตี้ย และมีปีกจมูกกว้าง จึงนิยมเสริมจมูกให้มีความโด่ง ปลายละมุน และอาจมีการตัดปีกจมูกให้แคบลงร่วมด้วย โดยสำหรับทรงจมูกยอดนิยมที่สาว ๆ หนุ่ม ๆ ชื่นชอบในการเสริมจมูกนั้นมีอยู่ 3 ทรงหลัก ๆ ด้วยกัน คือ
จมูกทรงสโลปปลายพุ่ง
ทรงจมูกที่มีได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นทรงที่เสริมจมูกแล้วผลลัพธ์มีความโด่งเป็นธรรมชาติ โดยมีความโด่งเป็นสันสโลปรับกับหน้าผากได้ดี และออกแบบปลายจมูกให้พุ่งโด่งสวยงาม เหมาะสำหรับผู้ที่มีเนื้อปลายจมูกค่อนข้างมาก เนื่องจากช่วยลดโอกาสซิลิโคนทะลุได้
ทรงจมูกปลายหยดน้ำ
อีกหนึ่งทรงจมูกที่ได้รับความนิยมไม่ต่างกันคือทรงจมูกปลายหยดน้ำที่จะช่วยให้ใบหน้าโดยรวมดูหวานละมุน แถมถูกหลักโหงวเฮ้งอีกด้วย โดยจะเป็นการออกแบบทรงจมูกให้มีช่วงสันสโลปลงมาและแต่งปลายเป็นหยดน้ำ ทำให้ช่วงจมูกแลดูยาวกว่าเดิม
จมูกทรงสโลปปลายเชิด
ถ้าอยากเสริมจมูกแล้วให้ใบหน้าโดยรวมแลดูเฉี่ยวสายฝอขึ้นกว่าเดิม ต้องเลือกจมูกทรงสโลปปลายเชิด ที่มีลักษณะคล้ายทรงสโลปปลายพุ่ง เพียงแต่ปรับแต่งช่วงสันจมูกให้รับกับช่วงหัวตาและหน้าผากได้พอดี และช่วงปลายแต่งให้ดูเชิดเล็กน้อย ผลลัพธ์ที่ได้จะทำให้ใบหน้าดูมีมิติและดูเฉี่ยวสวยมากขึ้น
อ่านเพิ่มเติม : 6 ทรงจมูกเสริมโหงวเฮ้งยอดนิยม ใครกำลังจะเสริมจมูกต้องอ่าน
ข้อปฏิบัติตัวก่อนและหลังเข้ารับบริการเสริมจมูก
การเตรียมตัวก่อนเสริมจมูก
- ปรึกษาแพทย์และแจ้งข้อมูลสุขภาพ เช่น โรคประจำตัว ประวัติแพ้ยา ยาที่รับประทานประจำ ให้แพทย์ทราบก่อนทุกครั้ง
- งดการรับประทานกลุ่มยาแอสไพริน กลุ่มยา NSAIDs รวมถึงกลุ่มวิตามิน E ใบแปะก๊วย น้ำมันตับปลา อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนเสริมจมูก เพื่อลดความเสี่ยงเลือดหยุดไหลยากขณะเสริมจมูก
- เลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ ก่อนเสิรมจมูก เพื่อป้องกันอาการบวมช้ำ และลดโอกาสการติดเชื้อขณะเสริมจมูก
การดูแลตัวเองหลังเสริมจมูก
- หลังเสริมจมูกควรประคบเย็นอย่างน้อย 24-72 ชั่วโมง เพื่อลดอาการปวดบวม หลังจากนั้นประคบอุ่นเพื่อลดอาการช้ำ
- ควรนอนหมอนสูง หรือใช้หมอนรองคอประคองศีรษะ รวมถึงเลี่ยงการนอนคว่ำ นอนตะแคง เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดคั่งในโพรงจมูก
- งดล้างหน้าอย่างน้อย 3 วัน เพื่อไม่ให้บาดแผลโดนน้ำและเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แต่ระหว่างนี้สามารถใช้สำลีชุบน้ำสะอาดเช็ดทั่วหน้าได้ และหากมีเลือดออกแนะนำใช้คอตตอนบัด หรือสำลีชุบน้ำเกลือทำความสะอาด
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 3-4 สัปดาห์หลังจากเสริมจมูก เนื่องจากอาจทำให้แผลหายช้าและเสี่ยงติดเชื้อมากขึ้น
- เลี่ยงการทานอาหารผิดสำแดง เช่น อาหารหมักดอง อาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ อาหารทะเลบางประเภท รวมถึงเลี่ยงอาหารรสจัดเผ็ดร้อน ที่เสี่ยงทำให้น้ำมูกไหลเยอะกว่าปกติ